เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ พ.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธนะ พระพุทธเจ้าวางศาสนาไว้ เช้าให้พระบิณฑบาต ตั้งแต่สมัย ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ชีวิตนี้ฝากไว้ ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพธาตุขันธ์นะ เลี้ยงชีพชีวิตนี้ด้วยปลีแข้ง แต่ถ้าเลี้ยงชีพชีวิตด้วยหัวใจ ถ้าเลี้ยงชีพชีวิตด้วยมรรค มรรคภายในนี่มันเกิดจากความประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติ พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างวัดมา ๘๔,๐๐๐ วัด สร้างวัดมามากมายมหาศาลเลย ไปถามอาจารย์ว่า

“เป็นญาติกับศาสนาหรือยัง?”

“ยังไม่เป็นญาติกับศาสนา”

“ถ้าเป็นญาติกับศาสนาต้องทำอย่างไร?”

“ต้องให้ลูกมาบวช”

พระมหินท์กับเจ้าหญิงสังฆมิตตา ถึงได้ลูกชายลูกสาวออกมาบวช ออกมาบวชเป็นญาติกับศาสนา สิ่งนั้นเป็นญาติกับศาสนาแล้ว นี่ลูกปฏิบัติขึ้นมาจนได้บุญกุศล สร้างมรรคขึ้นมาจากภายใน เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ย้อนดูกลับไปนะ เวลาย้อนดูกลับไป ความสุขนี้ได้มาจากใคร? ได้มาจากพ่อแม่ พ่อแม่ขอให้บวชไง แล้วบวชขึ้นมาประพฤติปฏิบัติไปจนถึงที่สุด

นี่มันต้องมีการประพฤติปฏิบัติ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพธาตุขันธ์ เลี้ยงชีพชีวิตนี้ ถ้าเลี้ยงชีพใจ ถ้าใจประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วมันจะได้ผล ผลของใจอันนั้นจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ในศาสนาของเรานี่ให้ผลนะ ปล่อยวางกิเลสได้ออกไปจากหัวใจ

แต่การประพฤติปฏิบัติของเรานี่ เราจะขึ้นจากยอดลงมาโคนไง ขึ้นต้นไม้เขาต้องขึ้นจากโคนขึ้นไปหายอด เราจะขึ้นจากโคน ถ้าเราขึ้นต้นไม้นี่ขึ้นจากโคน นับ ๑ ๒ ๓ ขึ้นไป แต่ความคิดของชาวพุทธเรานี่บอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางแล้ว เราเข้าใจธรรมะแล้ว เราปล่อยวางประสาเรา”

นี่เราขึ้นจากยอด ขึ้นต้นไม้โดดขึ้นจากยอดแล้วลงมาโคนต้นนี่ มันย้อนกลับกันไป สิ่งที่การกระทำของเขาอย่างนั้น เขาถึงเป็นการคาดการหมาย ถ้าการคาดการหมายจะไม่ได้ผลตามความเป็นจริงอันนั้น ถ้าเป็นผลตามความเป็นจริงขึ้นมาจะต้องขึ้นจากโคนไป

ถ้าเราขึ้นจากโคนไปนี่ เริ่มต้นจากควบคุมตัวเองได้ ถึงต้องมีทาน มีศีล มีภาวนา ไม่ดูถูกผลของทาน ถ้าผู้ได้ทำทานได้ทำบุญกุศลไว้ นี่มันเหมือนกับเราสร้างบุญกุศล เห็นไหม พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างวัดวาขนาดนั้นนะ แต่ทำไมยังไม่เป็นญาติกับศาสนา นี่เป็นญาติกับศาสนาด้วยสายเลือดนะ แต่ถ้าเราเป็นญาติกับศาสนา นางวิสาขาเป็นคฤหัสถ์แต่เป็นพระอริยบุคคลขึ้นมา เป็นพระโสดาบัน เป็นพระขึ้นมาจากใจ

เราก็เหมือนกัน ถ้าเราทำทานรักษาศีล แล้วเราการประพฤติปฏิบัตินี่ มันต้องมีความสนใจ ถ้าคนไม่มีความสนใจมันจะเข้ามาทำอย่างนี้ได้อย่างไร ความสนใจเข้ามาอย่างนี้มันต้องมีการสะสมมา การสร้างสมมา โลกเขาคิดของเขาไป ความเป็นอยู่ของโลกถ้าสมความปรารถนาเขา สมความเจตนาของเขา เขาคิดหาของเขา เขาว่าอันนั้นเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเขา นี่ความคิดของคนคิดได้แค่นั้นนะ เพราะมันเป็นวัตถุ มันจับต้องได้ มันพิสูจน์ได้

แต่ความคิดเป็นนามธรรม เห็นไหม ในพระไตรปิฎกบอกไว้ “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยบุคคล” พระอริยเจ้านี่รู้นะ รู้ทั้งความเกิดขึ้นของใจ รู้ทั้งสิ่งที่พูดออกไปแล้วมันกระทบกระเทือนหรือไม่กระทบกระเทือน พูดออกไปนี่ความนิ่งอยู่ แต่เราเห็นว่าคนนิ่งอยู่นี่ไม่รู้ไง ไม่เข้าใจ ถ้าเราแสดงออก เราคิดนี่มันจะเป็นคนที่ว่าเป็นความรู้ทางโลก เป็นความรู้เท่าทันคน

สิ่งที่ความรู้อันนั้นมันสร้างประโยชน์หรือสร้างโทษ พระอริยบุคคลนี่ถ้าเป็นประโยชน์ ดูอย่างพระพุทธเจ้าเคยเอ็ดพระ เคยไล่พระ แต่เวลาเราอ่านพระไตรปิฎกนี่เราว่าพระพุทธเจ้านิ่มนวลมาก นิ่มนวลอยู่ในความเห็นของเรา แต่เวลาที่ว่าลูกศิษย์ของพระสารีบุตรมานี่ จะมาเยี่ยมมาคารวะพระพุทธเจ้าน่ะ “ใคร? เหมือนชาวประมงเขาหาปลากัน เหมือนชาวประมงเขาแย่งปลากัน” ให้ไล่ออกไป พระพุทธเจ้าเคยทำอย่างนั้นนะ เคยไล่ เพราะว่าท่านทำมาเพื่อเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์กับเรื่องของหัวใจ เป็นประโยชน์กับเรื่องภายใน

แต่เวลาเราคิดเราคาดไปนี่ เราคาดว่าสิ่งที่ความสงบเสงี่ยมอันนั้นถึงจะเป็นคุณธรรม คุณธรรมในหัวใจมันเป็นคุณธรรมในหัวใจ แต่ถ้าเป็นความคาดความหมายของเรา เราจะคาดความหมายว่า คาดหมายไปแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ เหมือนกับเราเล่นกีฬา ถ้าเราลงไปในสนามกีฬา เราเหนื่อยมาก เราเล่นกีฬาด้วย เราได้ผลขึ้นมา ถ้าเราชนะเราจะได้รางวัล เราเป็นคนดู เราเป็นผู้ที่มีส่วนร่วม ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ เราไม่เข้าไปต่อสู้ เราไม่ใช่นักกีฬาลงไปต่อสู้กับกิเลส เราจะไม่ได้เหรียญรางวัล เราจะไม่ได้รางวัลของเราขึ้นมา

นี่ทาน ศีล ภาวนา มันก็เป็นบุญกุศล เวลาเราทำทานขึ้นมานี่ เกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหมขึ้นมานี่ สิ่งนี้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะเราสุขใจ เราสละออกไปขนาดไหน ความสุขอันนั้นก็ซับมาที่ใจ ความสุขความพอใจไง เราสละออกไปสิ่งใดนี่ เราเห็นคนอื่นมีความสุข เราก็มีความสุขกับเรา ความสุขอันนี้มันเกิดจากเวทนา สุขทุกข์ของเวทนา กับสุขทุกข์ของวิมุตติสุข มันไม่สุขอย่างนี้หรอก มันอิ่มเต็มของมัน มันไม่ผ่านขันธ์ ไม่ผ่านความรู้สึกอันนี้ มันเป็นธาตุรู้อันนั้น มันเต็มเปี่ยมอันนั้น แต่มันต้องเข้าไปทำลายสิ่งนี้ มันถึงต้องเป็นนักกีฬาไง มันถึงต้องลงไปเล่นไง

นี่การประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าเห็นเขาประพฤติปฏิบัติ เราก็อยากประพฤติปฏิบัติ การสะสมขึ้นมาประพฤติปฏิบัติแล้วมันจะได้ผลไม่ได้ผลนี่ มันอยู่ที่อินทรีย์แก่กล้าไง อยู่ที่อำนาจวาสนา คนเราประพฤติปฏิบัติยากรู้ง่ายก็มี ประพฤติปฏิบัติยากรู้ยากก็มี สิ่งที่ว่ารู้ยาก แล้วถ้าขิปปาภิญญาสมัยพุทธกาลนี่ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่าการนี่ ผู้ฟังอยู่ทำไมสำเร็จต่อหน้าท่านมหาศาลเลย? เพราะเขาสร้างสมมาไง

การสร้างสมมา การเกิดในยุคสมัยนะ ยุคสมัยหนึ่งโลกนี่เปลี่ยนไปโดยธรรมชาติของเขา โลกนี่หมุนไป แล้วจะเร่าร้อนตลอดไป เริ่มต้นพอแปรสภาพถึงที่สุดแล้วมันก็จะคืนตัวขึ้นมา สิ่งที่คืนตัวขึ้นมา แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสตรงนั้น แล้วใครสร้างบุญญาธิการ ใครสร้างอำนาจวาสนา สิ่งที่ว่าสร้างอำนาจวาสนา มันต้องสร้างอำนาจวาสนา มันต้องมีเหตุ มีเหตุเราสร้างอำนาจวาสนา

นี้ก็เหมือนกัน ใครเกิดในสมัยพุทธกาลนี่จิตใจควรแก่การงาน แต่ขนาดนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ “จะสอนใครได้ แล้วใครจะเชื่อฟังได้” เวลาสอนไปนี่ ทำไมถ้าพูดถึงคนเชื่อหมด ทำไมเขานับถือลัทธิต่าง ๆ ล่ะ ทำไมมีการแข่งขันกันในหลักการของศาสนา ในการเผยแผ่ศาสนาทำไมมีหลักการแข่งกันล่ะ เพราะอะไร? เพราะความเห็นของคนไม่เหมือนกัน กิเลสของคนไม่เหมือนกัน การสะสมของใจมาไม่เหมือนกัน

สิ่งที่สะสมมาของใจอันนี้มันเป็นการสะสมมา แล้วมันเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นความเห็น นี่ดูโลกสิ เห็นไหม แฟชั่นต่าง ๆ ความเห็นต่าง ๆ คนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ สิ่งที่เขาชอบเขาไม่ชอบนี่เป็นไปตามกระแส สิ่งที่ตามกระแสเพราะมันมีกิเลสยุแหย่ กิเลสถ้ามันพอใจของเรา มันก็ชอบสิ่งนั้น

แต่จริตนิสัยเวลาปฏิบัติขึ้นมานี่ มันเป็นการต่อสู้นะ การบังคับตน การบังคับตนต้องมีศีล ศีลจากภายนอก มีศีลจากภายนอกบังคับตนเข้ามา แล้วจะมีอธิศีล สิ่งที่มันคิดว่าอธิศีล ความบริสุทธิ์ของใจ เวลามันคิดขึ้นมามโนกรรมไง เราเห็นแต่กรรมภายนอก เวลาการผิดศีล ฆ่าสัตว์ต้องให้สัตว์ตายไปถึงจะเป็นผิดศีล แต่ความคิดเวลามรรคมันเกิดมันจะเกิดความละเอียดขนาดนั้น

ความเพียรชอบชอบจากศีลจากภายในหัวใจ ถ้ามันคิดผิด มันคิดแล้วมันเกิดความฟุ้งซ่าน คิดออกไปนี่ มันจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นไหม ใจดวงนั้นจะมีความสุขไหม ถ้าใจดวงนั้นคิดแล้วเป็นความสุขขึ้นมา คิดแล้วมันเป็นบุญกุศล คิดเป็นบุญกุศลมันสละออกขนาดไหน วัตถุที่เราสละออกไป โลกนี่สละออกไปแล้วขาดออกไปจากมือเรานี่ หายจากมือเราไป

แต่ความสละของใจ ถ้ามันสละความยึดมั่นถือมั่นของมัน มันสละความเห็นของมันขึ้นไป มันยิ่งสละมันยิ่งมีความสุข มันยิ่งว่าง มันยิ่งเวิ้งว้าง มันยิ่งเพิ่มค่า การสละของใจมันเพิ่มค่า ความเป็นพะรุงพะรัง เห็นไหม สมบัติของโลกนี้เราต้องหาสถานที่เก็บไว้ วัตถุสิ่งของต้องมีสถานที่ มีภาชนะถึงรองรับได้ แต่ความคิดวิชาการเราไม่ต้องมีที่เก็บเลย อยู่ในหัวใจนี่ไม่ต้องแบกหามสิ่งต่าง ๆ เต็มไปในหัวใจมากมายมหาศาล

แล้วถ้าเราสละออกมันยิ่งว่างขนาดไหน ถ้าภูมิหลังของใจมันยิ่งสะอาดขนาดไหน มันยิ่งจะลึกขนาดนั้น ความเห็นต่าง ๆ ข้อมูลในส่วนที่ลึกนั้น ความลึกซึ้งของใจนี่วุฒิภาวะของใจลึกลงไปขนาดไหนมันจะทำลายกิเลส ความคิดของปัญญาของโลกที่มันเกิดขึ้นมานี้ มันใช้ความคิดตื้น ๆ ความคิดตื้น ๆ นี่เราต้องทำความสงบของเราเข้ามาเพื่อจะให้มันลึกลงไปในหัวใจ

ถ้ามันลึกลงไปในหัวใจ เข้าไปในหัวใจนี่ มันจะเริ่มเข้าไปแยกแยะ สิ่งที่มันเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด ถ้าเรามีศีล เราทำความสงบของใจ จิตมันสงบขึ้นมามันปล่อยวางขึ้นมา มันปล่อยวางเฉย ๆ สิ่งที่ปล่อยวางเฉย ๆ มันก็ว่าง มันก็มีความสุขพอสมควรแล้ว แล้วเราใช้ปัญญาแยกแยะเข้าไป สิ่งที่ปัญญาแยกแยะเข้าไปมันเป็นมรรค นี่ความดำริชอบ ดำริเข้ามาภายใน

แต่ธรรมชาติของพลังงานทุกอย่าง เวลาพลังงานมันจะแสดงตัวออกมา มันต้องส่งออกไป พลังงานมันจะเคลื่อนไปข้างหน้าตลอดไป มันไม่ย้อนกลับ แต่ถ้ามรรคมันย้อนกลับ ย้อนกลับเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจ สิ่งนี้เป็นภวาสวะ เป็นภพ ถ้าเราเกิดตาย ๆ คนเกิดการตายเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่เราเป็นภพชาติอันหนึ่ง

แต่เวลาภพของใจนี่มันเกิดดับในหัวใจ เข้าไปหาสิ่งสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้มันเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งใด เกาะเกี่ยวอยู่กับกาย เวทนา จิต ธรรม จิต เห็นไหม จิตที่มันว่าลึกซึ้งนี่ ตัวมันเองมันก็ติดตัวมันเอง เอาจิตตัวนี้เข้าไปแก้จิต สภาวะภายใน ศาสนาสอนลงตรงนี้ไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงนี้ไง สิ่งนี้มหัศจรรย์มาก มันถึงต้องมีคนมีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อจะเกิดขึ้นมาจากเราได้สร้างสมบุญกุศลของเราขึ้นมา

ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญกุศลของเราขึ้นมา เราจะหาทางโต้แย้งสิ่งนี้ สิ่งที่โต้แย้ง มืดคู่กับสว่าง สิ่งที่เราโต้แย้งน่ะเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีสิ่งตรงข้ามว่าเป็นไปได้ สิ่งที่เป็นไปได้ เห็นไหม แล้วถ้าสิ่งที่เป็นไปได้อย่างที่ชาวพุทธเราทำกันน่ะ มันเป็นไปได้เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ทำไมมันเป็นไปไม่ได้ล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้เพราะมันไม่สมเหตุสมผล เห็นไหม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าเราสร้างเหตุสมควรแก่ธรรม ผลมันต้องให้ค่าตามสภาวะแบบนั้น

แต่นี้เราไปขึ้นจากปลายต้นแล้วลงมาโคนต้น เราจะทำอย่างไรให้มันเป็นไปได้ล่ะ แต่ถ้าเราขึ้นจากโคนต้นไปนี่ ทำสัมมาสมาธิ ไม่ต้องห่วงว่าเราจะทำไม่ได้ เราจะไม่มีเวลาหรอก เราสร้างของเราขึ้นมา พยายามทำความสงบของใจขึ้นมา สิ่งนี้เป็นพื้นฐาน เราหาโคนต้นไม้ให้เจอ ถ้าเราหาโคนต้นไม้เจอเราจะขึ้นต้นไม้นั้นได้ ถ้าเราหาใจของเราเจอ เราจะเริ่มชำระกิเลสของเราได้

นี้เราหาต้นไม้ของเราไม่เจอ เราทำความสงบของใจไม่ได้ เวลาวิปัสสนาไปมันก็เป็นเรื่องโลกียะ มันเป็นสิ่งที่ภายนอก ความคิดอย่างนี้มันเป็นความคิดปลดเปลื้อง ความคิดปล่อยวางให้มีความสุข เป็นกัลยาณปุถุชน คนที่ปุถุชนนี่มันคิดฟุ้งซ่านไปโดยอำนาจของมัน กัลยาณปุถุชนคือการควบคุมใจของเราได้ ควบคุมใจของเราได้คือเจอต้นไม้นั้นได้ เจอใจของเราได้

อันนี้มันจะเป็นการเริ่มเข้าไปในหัวใจ เจาะเข้าไปในหัวใจ ความลึกความตื้นของใจนี่ภวาสวะ สถานที่ตรงนั้นกิเลสมันอยู่ สถานที่ตรงนั้นเป็นที่เกิดของจิตนี้เกิดตรงนั้นด้วย แล้วเวลากิเลสเกิดเกิดพร้อมกันด้วย แล้วเราเข้าไปสถานที่นั้นแล้วทำลายกิเลสด้วย พอทำลายกิเลสๆ ทำลายจนถึงที่สุดกิเลสมันจะขาดออกไป เหลือแต่จิตล้วน ๆ จิตนี้ไม่มีกิเลส จิตนี้เป็นไป สภาวธรรมอันนี้มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมะก็มีอยู่ จะตรัสรู้ไม่ตรัสรู้สิ่งนี้มีอยู่ แต่ค้นคว้าเจอต้องสร้างบุญญาธิการมาขนาดที่ว่าสร้างสมมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เองโดยชอบ

แต่ถ้าเราไปศึกษาเล่าเรียนกับลัทธิศาสนาอื่นมันไม่มี สิ่งนี้มันละเอียดลึกซึ้งแต่เราก็สามารถทำได้ เพราะมีธรรมวินัย ธรรมวินัยจะเป็นเครื่องชี้นำเข้ามา ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หนึ่ง มีศรัทธาความเชื่อเหมือนนักกีฬามีโอกาสลงสนาม ถ้าเรามีโอกาสลงสนามแล้วถ้าเราเล่นกีฬาเราพยายามชนะขึ้นมา เริ่มต้นขึ้นมาเราไม่มีประสบการณ์มันก็ต้องไม่ประสบความสำเร็จหรอก แพ้เขามาตลอด

แต่ถ้าชนะวันไหน จากมีอันดับขึ้นมาเลย นี่มรรคมันเริ่มการฝึกฝน มรรคมันเริ่มมีอันดับขึ้นมา ถึงที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม จนถึงที่หนึ่งขึ้นมา เราถึงที่สุดเข้ามา เราได้รางวัลของเราขึ้นมา ใจมันได้รางวัล มันเห็นสภาวะตามความเป็นจริง การฝึกฝน การพ่ายแพ้ในกีฬานั้นมันเป็นการว่าเราจะหาทางขึ้นมาเพื่อหาเทคนิควิธีการไง

นี่การฝึกฝนใจ ปัญญาอย่างนี้จะเกิดขึ้น แล้วจะเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา จะทุกข์ยากขนาดไหน เริ่มต้นจากการประพฤติปฏิบัตินี้ก็ต้องมีศรัทธามีความเชื่อ อันนี้เป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ เราไม่สามารถแสวงหาสิ่งนี้ได้หรอก ความเป็นไปของโลกนี่มันบีบรัดมาก เราต้องพยายามแสวงหาของเรา แล้วเราจะต้องมาทำปฏิบัติอย่างนี้อีกเป็นไปทำไม เพื่อเหตุใด?

เพื่อเหตุว่าถ้าคนถึงที่สุด เห็นไหม สละโอกาสเลย พระผู้ที่บวชสละสิ่งการครองชีวิตแบบฆราวาส สิ่งที่ฆราวาสครองชีวิตอยู่นี่มีสิทธิต่าง ๆ สิทธิในที่ว่าถูกต้องตามกฎหมาย พระก็สละออก พระไม่เอา พระไม่ทำ พระต้องการต่อสู้กับกิเลสอย่างเดียว นี่มันมีศรัทธา มีความเชื่อ ถึงได้ลงสนามไง ถ้าลงสนามแล้วแพ้ชนะนั้นมันอยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่เราจะประพฤติปฏิบัติขนาดไหน

ถ้าสมประโยชน์ของเราเราทำของเราได้ขึ้นมา มันจะเป็นหลักการนะ ปัจจัตตัง รู้ในหัวใจของเรา เป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัยของเรา ตนไม่เบียดเบียนตน ตนมีที่พึ่งด้วย แล้วตนจะเป็นหลักของหมู่คณะ เป็นหลักของผู้ที่ว่าสั่งสอน เป็นผู้ที่ชี้ทางตลอดไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราศึกษามาเราก็อยากเกิดพบ เกิดกับท่าน เพื่อจะให้ชี้เข้ามา เพื่อเราจะทำอย่างไร

แต่ในเมื่อไม่มี ไม่ทันขึ้นมา แต่โอกาสธรรมวินัยยังมีอยู่ เราทำอยู่นี่ ครูบาอาจารย์ชี้นำอยู่ เราก็มีโอกาส ถ้าเราทำขึ้นมา พยายามศึกษาของเราขึ้นมา มันจะเป็นการสืบทอดกันไป ศาสนาจะสืบทอดกันไป ผู้ทรงธรรมทรงวินัยคือผู้ที่ปฏิบัติ เอวัง